วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Learning Log 8 (ในห้องเรียน)

Learning Log 8 (ในห้องเรียน)

ในการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยให้ได้ภาษาที่สวยงาม น่าอ่าน อย่างแรกเลยเราต้องรู้หลักไวยากรณ์เรื่องต่างๆ เพราะว่าไวยากรณ์มีความสำคัญต่อการแปลเป็นอย่างมากนับได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังเลยทีเดียว และเรื่อง Noun clauses หรืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เราจำเป็นต้องศึกษา การแปลอนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม ถ้าเราแปลได้อย่างถูกต้อง เราจะได้งานแปลที่มีภาษาสละสลวย น่าอ่าน หรือดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีเลยที่เดียว เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องศึกษาหลักการใช้ noun clauses ว่าคืออะไร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
Noun clauses คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นคำนามในประโยค ในการสนทนาในการใช้ชีวิตประจำวัน เราอาจได้ยิน หรือใช้ noun clauses โดยไม่รู้ว่ากำลังใช้ noun clauses อยู่ เช่น I think that you’re very pretty. I hope that you pass the exam. Noun clauses เหล่านี้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งประธานจะเรียกว่า Subject noun clauses และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของกรรม จะเรียกว่า Object noun clauses ดังตัวอย่างคือ that scores are going down is clear. ที่คาดว่าคะแนนลดลงเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน = Subject noun clauses I don’t know where she is.ผมไม่รู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน = Object noun clauses
ประเภทของ Object noun clauses พูดได้เลยว่า Object noun clauses จะต้องอยู่คู่กับ main clause ของประโยคเสมอ โดยจะเริ่มต้นด้วย Main clause แล้วตามด้วย Object noun clauses มี 3 ประเภท ได้แก่ 1. Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย that (that=ที่ว่า) 2.noun clauses ที่ขึ้นต้น Wh-question (that, where, when, why, how) และ 3.noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether (if/whether = หรือเปล่า, หรือไม่)
การใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that ในกรณีต่อไปนี้ 1.ใช้ตามหลัง verb บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิด หรือความคิดเห็น เช่น I agree that we should follow him. She knows that her mom loves her. 2. ถ้าเป็นภาษาพูดมักจะละคำว่า that ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น clauses เช่น I think that it’s not blue. (ภาษาทางการ) I think it’s not blue. (ภาษาพูด) 3. Verb ใน main clause มักจะเป็น Present tense แต่ Verb ใน Noun clauses จะเป็น tens อะไรก็ได้ เช่น I believe it’ll rain. (Very soon) 4.ในการสนทนา ถ้าต้องหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไป หรือไม่ต้องการพูด Noun clauses ซ้ำ สามารถตอบโดยใช้คำว่า so หรือ not หลัง main clause ได้ เช่น Surat: Is Surawee here today? Dendao: I think so. (I think that Surawee is here today)
การใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question (ได้แก่คำว่า that, where, when, why, how) มีกฎดังนี้ 1. Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question และแม้ว่า Noun clauses เหล่านี้ จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม แต่ลำดับในประโยคจะเป็นบอกเล่าไม่ใช่คำถาม เช่น I don’t know when he will arrive. (ไม่ใช่ when will he arrive2. การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause เช่น could you tell me where the elevator are? (main clause เป็นคำถาม) 3.ใช้ noun clausesที่ขึ้นต้น Wh-question เพื่อให้คู่สนทนาทราบว่าเราไม่รู้หรือว่าเราไม่แน่ใจ เช่น I don’t know how much it costs. 4. Noun clauses ที่ขึ้นต้น Wh-question เพื่อถามหาข้อมูลอย่างสุภาพ เช่น could you tell who are injured in the accident?
การใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether คือ indirect yes/no question นั่นเอง เช่น Direct question: Did they pass the exam? Indirect Question: I don’t know if they passed the exam. 2.ลำดับในประโยค และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question 3.จะขึ้นต้นด้วย Noun clauses คำว่า if หรือ whether ก็ได้ มักจะใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น Sir, I would like to know whether you prefect coffee or tea. Tell me if you want to go with us or not. 4.ใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อ main clause แสดงการใช้ความคิด หรือ คิดคำนึง เช่น I can’t remember if I had already paid him. 5.ใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อต้องการคำถามอย่างสุภาพ เช่น Do you know if the principal is in his office.
จากที่ได้ศึกษาเรื่อง Noun clauses ทำให้รู้ว่า Object noun clauses มีทั้งหมด 3 ประเภท ประเภทที่ 1 Wh-question + s. +v. 2.Yes/no question+s. +v. 3.that ซึ่งเมื่อเรารู้หลักการใช้ Noun clauses ทำให้เราแปลบริบทของประโยคออกและสามารถคาดเดาได้อย่างสละสลวยน่าอ่าน ที่สำคัญคือดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น