Learning
Log 7 (ในห้องเรียน)
การแปลเป็นสิ่งสำคัญของทักษะการอ่าน
โดยเฉพาะการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
การที่เราจะแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยให้ได้ภาษาที่สวยงามนั้น
เราต้องรู้หลักไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษก่อน และเรื่องที่เราจำเป็นต้องรู้อย่างมากคือ
Conditional
Sentences ประโยคเงื่อนไข Conditional Sentences หรือ If clause ประกอบด้วยประโยคเล็กสองประโยค
คือประโยคสมมุติ If clause และประโยคหลัก main idea ดังนั้นเรื่องนี้มีความสำคัญมากต่อการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
Conditional Sentences หรือ If clause คือประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข
ซึ่งประกอบด้วย 2 ประโยคเล็กรวมกัน และเชื่อมด้วย Conjunction
if ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข
เรียกว่า if clause และประโยคที่แสดงผลของเงื่อนไขนั้นเรียกว่า
main idea เช่น If it rains. I
shall stay at home.ประโยคหน้าเป็น if clause ประโยคหลังเป็น
main idea Conditional Sentences แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1.Real Possible Condition (เงื่อนไขที่เป็นจริงหรือน่าจะเป็นไปได้)
2.Impossible or Improbable Condition (เงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่น่าจะเป็นไปได้) 3.Fact contrary Condition เงื่อนไขที่ตรงข้ามกับความจริง
ประเภทที่ 1 Real Possible Condition ใช้กับเงื่อนไขที่เป็นจริงมีโครงสร้างดังนี้ If+subject+present simple, subject+present simple เช่น If we study hard, we pass the exam. =ถ้าเราขยันเรียนเราก็สอบผ่าน ใช้กับเงื่อนไขที่เป็นคำสั่งหรือขอร้อง มีโครงสร้างดังนี้ If+subject+present simple, imperative/request (infinitive/don’t+infinitive) เช่น don’t disturb me if I am in my room. =อย่ารบกวนถ้าฉันอยู่ในห้อง ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะมีเหตุการณ์นั้นเป็นเงื่อนไข ผลของเงื่อนไขก็จะเกิดตามมาในรูปของประโยคบอกเล่า มีโครงสร้างดังนี้ If+subject+present simple , subject+future simple เช่น If Pang study hard , she will pass the test easily. =ถ้าแป้งขยันเธอจะสอบผ่านได้ง่าย
ประเภทที่
2
Impossible or Improbable Condition มีโครงสร้างประโยคดังต่อไปนี้
If + past perfect
tense, past future simple, had+V.3 (Could, might, would.should+have+V.3) หรือ past future perfect. if+perfect tense,(Could,
might, would.should+have+V.3) had+V.3 เช่น If shall had
been there, she would have seen the accident.(but she wasn’t there) He would
have given her money if she hadn’t gone out.(but she went out) หมายเหตุ
สำหรับประโยคที่มี had+v.3 ทำให้เป็น Inverted From ได้ด้วยการตัด
if ออกใช้ had ขึ้นต้นประโยคแล้วต่อด้วยประธาน+v.3+ส่วนขยายอื่นๆเช่น If she had been there, she would have the
accident.หรือ Had she been there, she would have seen the
accident.
ประเภทที่
3 contrary Condition มีโครงสร้างดังต่อไปนี้ if+past simple (verb to be ใช้
were ทุกพจน์), past future simple (would,should+V) เช่น If were rich, I should travel around the world.(but I am
not rich) He would meet her if he went to the party.(but he doesn’t go to the
party.) หมายเหตุ สำหรับประโยคที่มี were นั้น
ทำให้เป็น Inverted From ได้ด้วยการตัด if ออกใช้ were ขึ้นต้นประโยคแล้วต่อท้ายด้วยประธานละส่วนขยายตัวอื่นๆ
เช่น If were rich, I should travel around the world.หรือ were
I rich, I should travel around the world แต่ถ้าประโยคเงื่อนไขไม่มี
were เราก็สามารถละ if ได้
แต่ต้องเปลี่ยนรูปประโยคดังนี้ If I had more money, I would buy a new
car. เป็น Were I do have more money, I would buy a new
car.
ดังนั้นจะสรุปได้ว่า Conditional
Sentences หรือ หรือ If clause มีทั้งหมด 3
แบบคือ 1.Real
Possible Condition 2.Impossible or Improbable Condition และสุดท้ายFact
contrary Condition ทั้งสามประเภทมีความสำคัญต่อการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเป็นอย่างมาก
เพราะว่าถ้าเราไม่รู้รูปแบบของ Conditional Sentences
เราก็ไม่สามารถแปลภาษาออกมาได้สวยงาม ดังนั้น Conditional Sentences ประโยคเงื่อนไขจะช่วยให้เราแปลงานได้อย่างสวยงาม น่าอ่าน
ดึงดูดใจผู้อ่านได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แล้วยังทำให้งานแปลของเราออกมาได้อย่างถูกต้องตามจุดประสงค์ของผู้เขียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น