วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Learning Log วันที่ 30 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2558 (ภาคบ่าย)

Learning Log
วันที่ 30 เดือน ตุลาคม พ..2558 (ภาคบ่าย)

การศึกษานอกห้องเรียนในวันศุกร์ที่ 30 เดือน ตุลาคม พ..2558 ในช่วงบ่าย ดิฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมรับฟังการบรรยายจากท่าน ผศ.ดร.ศิตา เยี่ยมขันติถาวร โดยโครงการนี้จัดขึ้นเพื่อให้ครูมีเทคนิคการสอนแบบบูรณาการทักษะ เพื่อจะนำไปประยุกต์ใช้กับการสอนได้จริง เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการสื่อสาร ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษในปัจจุบันเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ในการเรียนภาษาอังกฤษต้องมีความกล้าแสดงออก กล้าพูด  ที่สำคัญคือ ต้องขยัน หมั่นศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองอยู่เสมอ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราฝึกภาษาได้รวดเร็วขึ้นและยังสามารถนำไปใช้จริงได้อีกด้วย นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีห้องเรียนกลับด้านหรือที่เรียกว่า Flipped Classroom เพื่อช่วยให้นักเรียนฝึกการเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น

Learning Log (นอกห้องเรียน) วันที่ 30 ตุลาคม 2558 (ภาคเช้า)

Learning Log (นอกห้องเรียน)
วันที่ 30 ตุลาคม 2558 (ภาคเช้า)
                                                                                                           
         การศึกษานอกห้องเรียนในวันศุกร์ที่30 ตุลาคม 2558 ในช่วงเช้าดิฉันได้เข้าอบรมฟังคำบรรยายจาก ผศ ดร. ศิตา  เยี่ยมชนติถาวร ซึ่งบรรยายในหัวข้อวิธีการสอนในศตวรรษที่21 และกลวิธีการเรียนการสอนภาษาในปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันการสอนของครูได้เปลี่ยนไปมาก โดยครูจะให้นักเรียนเป็นศูนย์และครูจะคอยสังเกตนักเรียนอยู่ห่างๆคอยให้การช่วยเหลือนักเรียนเมื่อนักเรียนไม่เข้าใจ ในช่วงเช้าของวันนี้ท่านวิทยากรได้บรรยายทั้งหมด 3 ประเด็น ประเด็นแรกคือ แนวการสอนที่เน้นเป็นปฏิสัมพันธ์ ประเด็นที่สอง แนวทางการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นความเหมาะสมในการใช้ภาษาและประเด็นสุดท้าคือแนวทางการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรนาการเนื้อหาและภาษา
          ประเด็นแรก คือ แนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นปฏิสัมพันธ์โดยใช้วิธีการสอนแบบเงียบ (The Silent way) วิธีการสอนแบบนี้มีหลักการที่เน้นความเข้าใจ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนคิดเอง ผู้สอนจะพูดน้อยถึงน้อยที่สุดและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้พูด การแก้ปัญหาและส่วนสำคัญของการเรียนรู้ ผู้สอนเป็นเพียงผู้ที่คอยช่วยเหลือนักเรียนเมื่อนักเรียนเกิดความไม่เข้าใจ ควรให้นักเรียนได้เรียนจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดความเข้าใจที่จะค้นพบกฎเกณฑ์ของภาษาด้วยตนเองและจากเพื่อนๆมากกว่าการจำเนื้อหาที่ครูป้อนให้
          

Learning Log (นอกห้องเรียน) 29/10/2558 (ภาคบ่าย)

Learning Log
นอกห้องเรียน 29/10/2558 (ภาคบ่าย)

การศึกษานอกห้องเรียนในวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2558 ในภาคบ่ายดิฉันได้เข้ารับฟังการบรรยายจาก ผศ.ดร.ศิตา เยี่ยมขันติถาวร ในหัวข้อ แนวการสอนภาษาอังกฤษท่เน้นกฎเกณฑ์ของภาษาเนื่องจากปัจจุบันจะเห็นได้ว่านักศึกษาหรือประชาชนชาวไทยจะใช้ภาษาแบบผิดๆ โดยเฉพาะเรื่องของการใช้ไวยากรณ์ในการแปลและคำบางคำพูดใช้ทับศัพท์จนไม่รู้ว่าคำศัพท์หรือตัวบริบทที่แท้จริงคืออะไร เมื่อฟังเรื่องของกฎเกณฑ์ของภาษาแล้ว ท่านก็บรรยายเรื่องแนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ โดยท่านมีเทคนิคต่างๆมากมายที่น่าสนใจ สุดท้ายท่านก็บรรยายเรื่องการสอนภาษาที่เน้นความเหมาะสมในการใช้ภาษา ดังนั้นเรามาเจาะลึกแนวการสอนต่างๆของท่าน ผศ.ดร. ศิตา เยี่ยมขันติถาวร
ประเด็นแรกคือแนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นกฎเกณฑ์ของภาษา ปัจจุบันการสอนภาษาอังกฤษได้มีวิวัฒนาการและมีทฤษฎีการสอนที่หลากหลาย วิธีที่ครูจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมเพื่อนำไปดัดแปลงใช้สอนนักเรียนแต่ละคนท่านวิทยากรได้บอกทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ 1.วิธีการสอนแบบไวยากรณ์และการแปละ (Grammar Translation) 2.วิธีการสอนแบบตรง 3. วิธีการสอนแบบฟัง-พูด (Audio-Lingual Method) ซึ่งทั้งสามรูปแบบตรงกับการสอนของครูไทยมากที่สุด ดังนั้นทั้ง 3 รูปแบบจึงเป็นส่วนสำคัญในการสอนภาษาอังกฤษ ครูจึงเป็นสื่อกลางในการนำข้อมูลต่างๆเพื่อไปป้อนให้แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

Learning Log (นอกห้องเรียน) วันที่ 29/10/58 (ภาคเช้า)

Learning Log (นอกห้องเรียน)
วันที่ 29/10/58 (ภาคเช้า)

การศึกษานอกห้องเรียนในวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2558 ดิฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมอบรมในโครงการ อบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะโดยมุ่งเน้นให้ครูผู้สอนรู้จักการใช้ทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียนมาบูรณาการเข้าด้วยกัน เนื่องจากปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสารและปกคลุมไปเกือบครึ่งโลก ในการเรียนวิชาทางภาษาให้ได้ดีนั้น คิดอย่างเดียวจะไม่เกิดความสำเร็จ ครูต้องบอกเด็กให้รู้ตัวอย่างและฝึกให้ทำให้มากๆ วิชาทางภาษาเด็กจำเป็นต้องรู้หลักเกณฑ์ นอกจากนี้แล้วทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียนต้องแม่นยำอีกด้วย การเรียนวิชาทางภาษาจะต้องอาศัยความขยัน โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ เมื่อเจอชาวต่างชาติพยายามชนคุยเพื่อที่เราจะได้ฝึกภาษาไปในตัว และไม่อายที่จะพูด สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเก่งภาษามากขึ้น

Learning Log 11 (นอกห้องเรียน)

Learning Log 11 (นอกห้องเรียน)


                ทักษะการฟังเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในภาษาอังกฤษ ทักษะการฟังถือเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าทักษะอื่นๆเลยก็ว่าได้ และยังมีบทบาทมากในการใช้ทักษะการฟังสื่อสารกับชาวต่างชาติ การฟังเป็นทักษะที่ช่วยให้เราเข้าใจในความต้องการของเจ้าของภาษาที่จะสื่อออกมา บางครั้งเราฟังเจ้าของภาษาไม่ได้นั้น เป็นเพราะว่าภาษาอังกฤษมีหลายสำเนียง ดังนั้นวิธีการฝึกทักษะการฟังที่ง่ายที่สุดคือ การฟังเพลง
                ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น I Pod มือถือ หรือ เครื่องเล่น mp3 ในรูปแบบต่างๆล้วนเป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้ แต่เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองบ้างไหม เราได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้บ้าง นอกจากความผ่อนคลาย Relaxtion และความบันเทิง Entertainment เราสามารถประยุกต์การฟังเพลงให้เกิดประโยชน์กับเราในการฝึกภาษาอังกฤษได้
               

Learning Log 10 (นอกห้องเรียน)

Learning Log 10 (นอกห้องเรียน)


ดนตรีเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการเรียน โดยเฉพาะเพลงสากลเป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับนักเรียนไทย ที่สนใจภาษาอังกฤษ เพราะถ้าฟังไม่ออก ร้องตามไม่ได้ ทั้งๆที่ชอบจังหวะของเพลงและตัวศิลปินนักร้องเอง ก็ต้องยอมแพ้กับมันเพราะว่า Language Barrier หรืออุปสรรคทางภาษา เพลงเป็นสื่อการสอนและฝึกฝนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดและง่ายที่สุด แล้วใกล้ตัวเรามากที่สุด เพราะว่าครูเองก็ใช้เพลงฝึกภาษามาตั้งแต่เด็ก ในการฟังครั้งแรก เข้าใจว่าเนื้อเพลงมีเนื้อหาส่วนใหญ่ว่าอย่างไร ฟังหลายๆครั้งเพื่อจะได้จำสำเนียงภาษาอังกฤษได้
ตอนต้นของชั่วโมงครูเริ่มต้นด้วยการถามนักเรียนว่า 1.เคยไหมที่นักเรียนฟังเพลงภาษาอังกฤษเพลงโปรด ที่ชื่นชอบทำนองและนักร้อง แต่นักเรียนไม่สามารถร้องตามได้ 2.เคยไหม เวลาที่นักเรียนพบคำศัพท์ที่นักเรียนฟังไม่ออก มันเป็นคำศัพท์ที่นักเรียนรู้อยู่แล้ว และเป็นคำศัพท์ที่ง่ายมากแต่นักเรียนกลับฟังคำที่นักเรียนรู้จักไม่ออก 3.เคยไหม ที่นักเรียนดูเนื้อเพลงแล้วพยายามร้องตามเพลงสากลที่ชอบ แต่กลับร้องยังไงก็ไม่เหมือน และฟังดูตลกจนอายที่จะร้องเพลงสากลไปเลย ทั้งหมดนี้ก็คือระบบเสียงของชาวไทยกับชาวต่างชาติต่างกัน

Learning Log 9 (นอกห้องเรียน)

Learning Log 9 (นอกห้องเรียน)


ภาษาเป็นเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อใช้สื่อสาร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้และใช้ในการสื่อความหมายความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในปัจจุบันภาษาอังกฤษมีบทบาทอย่างกว้างขวาง สำหรับการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยนั้น เมื่อเปรียบเทียบความสำคัญทั้ง    4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่านและเขียน จะพบว่าการอ่านเป็นทักษะที่สำคัญกว่าทักษะอื่นๆเพราะทักษะการอ่านเป็นการแสวงหาความรู้ต่างๆในชีวิตประจำวัน วันนี้ดิฉันเลือกที่จะอ่านข่าวสั้นๆก่อน เพราะดิฉันคิดว่าควรเริ่มจากอะไรที่ง่ายๆก่อน
จากที่อ่านข่าวทั้งหมดได้ความว่า หญิงสาวคนหนึ่งจากรัฐ วิสคอนซิน ถูกเชิญให้ออกจากร้านแม็คโดนัลด์ เนื่องจากเธอพยายามเข้าไปในร้านพร้อมกับจิงโจ้ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ ลูกค้าที่อยู่ในร้านขณะนั้นโทรเรียกตำรวจ ซึ่งขอให้ผู้หญิงคนนี้ออกไปจากร้าน ผู้หญิงคนนี้เธอป่วยเป็นโรคมะเร็ง เธอบอกกับตำรวจว่าจิงโจ้เป็นของเธอ สัตว์ที่ช่วยเหลือคนพิการ ที่ช่วยเธอในการรับมือกับความเจ็บปวดทางจิตใจที่เธอต้องเผชิญกับโรคมะเร็ง และเธอยังได้แสดงใบรับรองจากแพทย์ให้เป็นหลักฐานอีกด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าในตอนแรก ผู้หญิงคนนั้นซึ่งอาศัยอยู่กับสัตว์แปลกๆอีกจำนวนมากดูจะไม่พอใจ แต่เธอก็ยอมออกจากร้านอาหารไปในที่สุด

Leaning Log 8 (นอกห้องเรียน)

Leaning Log 8 (นอกห้องเรียน)

การพูด คือการเปล่งเสียงด้วยคำเพื่อบอกถึงเรื่องราวความรู้สึกนึกคิดเป็นภาษาอังกฤษ มีจุดประสงค์เพื่อสื่อสารระหว่างกัน และการพูดของคนย่อมมีต้นกำเนิดมาจากความจำเป็นของตนเองที่จะใช้เสียงพูดให้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากว่าเรื่องอื่นๆ ดังนั้นการพูดจึงดูจะเป็นปัญหาใหญ่ๆสำหรับครูผู้สอนหรือตัวผู้เรียนเอง ครูบางคนพยายามที่จะพูดภาษาอังกฤษในชั้นเรียนเพื่อให้นักเรียนคุ้นเคยอยู่เสมอ ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับนักเรียนที่จะได้มีโอกาสพูดภาษานั้น โดยครูจะต้องหาวิธีเพื่อให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นในขอบเขตภาษาอังกฤษที่มีอยู่

Learning Log 7 (นอกห้องเรียน)

Learning Log 7 (นอกห้องเรียน)


ทักษะภาษาอังกฤษที่พบว่าผู้เรียนไม่มั่นใจมากที่สุด คือทักษะการเขียน เพราะว่าการฟัง ผู้ฟังสามารถอาศัยสีหน้าและท่าทางผู้พูดเพื่อประกอบความเข้าใจได้ การพูดก็พอใช้ภาษามือช่วยได้ ส่วนการอ่านก็ใช้เวลานานแค่ไหนก็ได้เพื่อทำความเข้าใจไปทีละนิด แต่การเขียนเป็นเรื่องที่ดูทางการมากที่สุด ผู้เขียนจะต้องกังวลถึงเรื่องไวยากรณ์ คำศัพท์ และหลักการเขียนอื่นๆอีกมากมาย ก่อนที่จะทำ ไปดูวิธีแก้ไขและพัฒนาทักษะการเขียน เราต้องพิจารณาก่อนว่าอะไรคือ จุดอ่อนที่ทำไม่ได้สักที

Learning Log 6 (นอกห้องเรียน)

Learning Log 6 (นอกห้องเรียน)

ปัจจุบันหลายฝ่ายให้ความสำคัญกับการศึกษานอกห้องเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากการศึกษาในปัจจุบันได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการเรียนแทรกการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียน เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และศึกษาด้วยตนเอง การพัฒนาการเรียนการสอนให้ทันกับโลกที่ก้าวไปอย่างไม่หยุดนิ่งจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งผู้สอนต้องหาวิธีการเรียนการสอนแบบใหม่ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะต่างๆด้วยตนเอง และการให้เด็กได้มีส่วนร่วมกิจกรรม ก็เป็นการพัฒนาทักษะทางความคิดอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าการศึกษานอกชั้นเรียนในปัจจุบันนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ

Learning Log 5 นอกห้องเรียน

Learning Log 5 นอกห้องเรียน

การพัฒนาตนเองมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน ในที่นี้ดิฉันจะพัฒนาตนเองในด้านทักษะการอ่าน เพราะทักษะการอ่านของดิฉันเป็นปัญหามากในการเรียนและการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นดิฉันจึงเลือกที่จะพัฒนาตนเองทางด้านการอ่าน โดยเฉพาะการอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านบทความหรือสื่ออื่นๆ ล้วนต้องอาศัยพื้นฐานทางไวยากรณ์หรือคำศัพท์ ดังนั้น 2 ตัวนี้เป็นอุปสรรคสำหรับดิฉันมาก เพราะว่าดิฉันมีความบกพร่องทางด้านคำศัพท์
อุปสรรคในการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษคือ 1.ไม่เข้าใจโครงสร้างประโยค การเขียนข่าวมักใช้สำนวนภาษาที่กระชับ ภาษาข่าวจึงทำให้คนไม่คุ้นเคยและงงได้ ที่พบบ่อยก็คือ ใช้วลีหรืออนุประโยคที่ชวนสับสน เช่น เป็นกลุ่มคำนาม กลุ่มคำกริยา กลุ่มคำขยาย ขยายกันไปขยายกันมา ขยายซ้อนขยาย สองซ้อน สามซ้อน ถ้ายังไม่สามารถแยกแยะโครงสร้างประโยคอย่างกระจ่าง    2.ไม่รู้คำศัพท์ เป็นเรื่องธรรมดาแต่ถ้าเราฝึกอ่านไปเรื่อยๆละค่อยๆจำไปเรื่อย ปัญหานี้ก็ค่อยๆหมดไป ส่วนเทคนิคในการจำคำศัพท์เป็นเทคนิคของแต่ละคน นอกจากเรื่องโครงสร้างประโยคและคำศัพท์ ก็ยังมี 2 เรื่องที่ควรทำ 1.เลือกข่าวที่อ่าน 2.กำหนดจำนวนนาทีที่จะอุทิศให้แก่การฝึกอ่านข่าว ซึ่งมีเทคนิคในการอ่านดังนี้

Learning Log 4 (นอกชั้นเรียน)

Learning Log 4 (นอกชั้นเรียน)

สำหรับการศึกษานอกชั้นเรียนสัปดาห์ที่ 4 ดิฉันได้ศึกษาข่าวในเว็บไซต์ Bangkok post เพราะว่ามีข่าวที่ดิฉันสนใจอยู่ข่าวหนึ่ง คือ ข่าวสุดเศร้า ผู้บริหารแขวงการทางที่นครศรีธรรมราช ประสบอุบัติเหตุขณะร่วมปั่นจักรยานเพื่อแม่ เสียชีวิต
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2558 จากเรื่องที่อ่านได้ความว่า เกิดเหตุการณ์เศร้าสลด   หนุ่มใหญ่ผู้บริหารแขวงการทางนครศรีธรรมราชที่ 1 สำนักงานทางหลาวงที่ 14 ประสบอุบัติเหตุขณะร่วมกิจกรรมปั่นเพื่อแม่ bike for mom เมื่อค่ำวันที่ 16 คณะแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลวชิราวุธ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้พยายามช่วยชีวิต นายรัชพล รุ่งกำจัด ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าส่วน (ระดับบริหาร) แขวงการทางนครศรีธรรมราชที่ 1 สำนักงานทางหลวงที่ 14 อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ โดยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจากการประสบอุบัติเหตุรถจักรยานที่กำลังปั่นเสียหลักล้มลงระหว่างร่วมขบวนในกิจกรรมปั่นเพื่อแม่   Bike for mom ในสภาพหมดสติ ตัวซีด ซึ่งน่าจะมีอาการเป็นลมร่วมด้วย ซึ่งแพทย์ได้พยายามช่วยชีวิต แต่ปรากฏว่า นายรัชพลได้เสียชีวิตลงในเวลา 19.00.

Learning Log 3 (นอกห้องเรียน)

Learning Log 3  (นอกห้องเรียน)
ปัจจุบันหลายฝ่ายให้ความสำคัญกับการศึกษานอกห้องเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากการศึกษาในปัจจุบันได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการเรียนแทรกการเรียนการสอนทั้งในและนอกห้องเรียน เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และศึกษาด้วยตนเอง การพัฒนาการเรียนการสอนให้ทันกับโลกที่ก้าวไปอย่างไม่หยุดนิ่งจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งผู้สอนต้องหาวิธีการเรียนการสอนแบบใหม่ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะต่างๆด้วยตนเอง และการให้เด็กได้มีส่วนร่วมกิจกรรม ก็เป็นการพัฒนาทักษะทางความคิดอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าการศึกษานอกชั้นเรียนในปัจจุบันนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ

Learning Log 1 (นอกห้องเรียน)

Learning Log 1 (นอกห้องเรียน)

จากที่ดิฉันได้ไปศึกษานอกห้องเรียน ดิฉันเลือกที่จะดูหนัง เพราะว่าการดูหนังทำให้ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟัง เพราะดิฉันคิดว่าดิฉันมีความบกพร่องทางด้านการฟังเป็นอย่างมาก ดังนั้นการดูหนังจึงสามารถช่วยให้ดิฉันมีทักษะการฟังที่ดียิ่งขึ้น
                ดิฉันเลือกดูหนังเรื่อง Bad teacher เพราะเป็นแนวในหนังเรื่องนี้จะทำให้นักเรียนได้เห็นพฤติกรรมที่แย่ๆของครู ครูแสดงกริยาท่าทางที่ไม่เหมาะสมแก่นักเรียน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ถ้าครูแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีกับนักเรียน นักเรียนอาจจะลอกเลียนแบบและไม่นับถือครู
                ดิฉันคิดว่าจากการดูหนังเรื่องนี้ ถ้าหากฉันเป็นครูในอนาคต ดิฉันจะประพฤติแต่สิ่งที่ดีและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียน


Learning Log 11 (ในห้องเรียน)

Learning Log 11 (ในห้องเรียน)

                การเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคนๆ เพราะภาษาอังกฤษมีรายละเอียดที่มากมายและซับซ้อนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของไวยากรณ์ เป็นสิ่งที่นักเรียนทุกคนในฐานะของเด็กไทยมีปัญหากันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันภาษาอังกฤษอาจจะเรียกว่าเป็นภาษาสากลที่จำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเด็กไทยจึงจำเป็นจะต้องเรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ ซึ่งในการเรียนภาษาอังกฤษนั้น เด็กไทยจะต้องรู้รายละเอียดของแกรมม่าอย่างเข้าใจชัดเจนและถูกต้อง จึงจะสามารถที่จะสื่อสารและเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวาง ผู้เรียนภาษาอังกฤษจะต้องศึกษาเกี่ยวกับแกรมม่าหรือไวยากรณ์ทางภาษาอังกฤษเพราะภาษาอังกฤษมีกฎเกณฑ์และเนื้อหาที่ซับซ้อน เพราะฉะนั้นผู้เรียนภาษาอังกฤษจะต้องรู้ทำความเข้าใจและ เรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องพยายามศึกษา หมั่นหาความรู้เพิ่มเติม เพราะในเรื่องของภาษาและเนื้อหานั้น มีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในห้องเรียนของวันที่ 20/ตุลาคม/2558 ดิฉันได้เขียนเรื่อง Reduction of time clause และวิธีการลดรูปของ time clause
               

Learning Log 9 (ในห้องเรียน)

Learning Log 9 (ในห้องเรียน)
การศึกษาในห้องเรียนครั้งนี้ ดิฉันและเพื่อนๆได้ศึกษาเรื่อง Reduction of time clause โดยอาจารย์ให้แบ่งกลุ่มและช่วยกันศึกษาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดิฉันและเพื่อนภายในกลุ่มช่วยกันสรุปเรื่อง Reduction of time clause หรือเรียกอีกอย่างว่า การละ Adverb clause of time สามารถสรุปได้ดังนี้ Adverb clause of time คืออนุประโยค (Subordinate clause) ที่ทำหน้าที่ขยายประโยคหลัก Main clause เพื่อบอกการกระทำนั้นเกิดขึ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งโดยมี Conjunction ที่ใช้เชื่อมอนุประโยคเพื่อบอกเวลา
Conjunction หรือ clause markers ของ Adverb clause of time มีดังนี้ when= เมื่อ, ในเวลาที่, ตอนที่ whenever= เมื่อไหร่ก็ตามที่ while=ในขณะที่ as=ในขณะที่ before=ก่อนที่ after=หลังจากที่ since=ตั้งแต่, นับตั้งแต่ till=จนกระทั่ง, จนกว่า until=จนกระทั่ง จนกว่า as soon as=ในทันทีที่ as long as=ตราบเท่าที่ ตราบใดที่ so long as=ตราบเท่าที่ ตราบใดที่

Learning Log 8 (ในห้องเรียน)

Learning Log 8 (ในห้องเรียน)

ในการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยให้ได้ภาษาที่สวยงาม น่าอ่าน อย่างแรกเลยเราต้องรู้หลักไวยากรณ์เรื่องต่างๆ เพราะว่าไวยากรณ์มีความสำคัญต่อการแปลเป็นอย่างมากนับได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังเลยทีเดียว และเรื่อง Noun clauses หรืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เราจำเป็นต้องศึกษา การแปลอนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม ถ้าเราแปลได้อย่างถูกต้อง เราจะได้งานแปลที่มีภาษาสละสลวย น่าอ่าน หรือดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีเลยที่เดียว เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องศึกษาหลักการใช้ noun clauses ว่าคืออะไร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
Noun clauses คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นคำนามในประโยค ในการสนทนาในการใช้ชีวิตประจำวัน เราอาจได้ยิน หรือใช้ noun clauses โดยไม่รู้ว่ากำลังใช้ noun clauses อยู่ เช่น I think that you’re very pretty. I hope that you pass the exam. Noun clauses เหล่านี้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งประธานจะเรียกว่า Subject noun clauses และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของกรรม จะเรียกว่า Object noun clauses ดังตัวอย่างคือ that scores are going down is clear. ที่คาดว่าคะแนนลดลงเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน = Subject noun clauses I don’t know where she is.ผมไม่รู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน = Object noun clauses
ประเภทของ Object noun clauses พูดได้เลยว่า Object noun clauses จะต้องอยู่คู่กับ main clause ของประโยคเสมอ โดยจะเริ่มต้นด้วย Main clause แล้วตามด้วย Object noun clauses มี 3 ประเภท ได้แก่ 1. Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย that (that=ที่ว่า) 2.noun clauses ที่ขึ้นต้น Wh-question (that, where, when, why, how) และ 3.noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether (if/whether = หรือเปล่า, หรือไม่)
การใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that ในกรณีต่อไปนี้ 1.ใช้ตามหลัง verb บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิด หรือความคิดเห็น เช่น I agree that we should follow him. She knows that her mom loves her. 2. ถ้าเป็นภาษาพูดมักจะละคำว่า that ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น clauses เช่น I think that it’s not blue. (ภาษาทางการ) I think it’s not blue. (ภาษาพูด) 3. Verb ใน main clause มักจะเป็น Present tense แต่ Verb ใน Noun clauses จะเป็น tens อะไรก็ได้ เช่น I believe it’ll rain. (Very soon) 4.ในการสนทนา ถ้าต้องหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไป หรือไม่ต้องการพูด Noun clauses ซ้ำ สามารถตอบโดยใช้คำว่า so หรือ not หลัง main clause ได้ เช่น Surat: Is Surawee here today? Dendao: I think so. (I think that Surawee is here today)
การใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question (ได้แก่คำว่า that, where, when, why, how) มีกฎดังนี้ 1. Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question และแม้ว่า Noun clauses เหล่านี้ จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม แต่ลำดับในประโยคจะเป็นบอกเล่าไม่ใช่คำถาม เช่น I don’t know when he will arrive. (ไม่ใช่ when will he arrive2. การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause เช่น could you tell me where the elevator are? (main clause เป็นคำถาม) 3.ใช้ noun clausesที่ขึ้นต้น Wh-question เพื่อให้คู่สนทนาทราบว่าเราไม่รู้หรือว่าเราไม่แน่ใจ เช่น I don’t know how much it costs. 4. Noun clauses ที่ขึ้นต้น Wh-question เพื่อถามหาข้อมูลอย่างสุภาพ เช่น could you tell who are injured in the accident?
การใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether คือ indirect yes/no question นั่นเอง เช่น Direct question: Did they pass the exam? Indirect Question: I don’t know if they passed the exam. 2.ลำดับในประโยค และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question 3.จะขึ้นต้นด้วย Noun clauses คำว่า if หรือ whether ก็ได้ มักจะใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น Sir, I would like to know whether you prefect coffee or tea. Tell me if you want to go with us or not. 4.ใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อ main clause แสดงการใช้ความคิด หรือ คิดคำนึง เช่น I can’t remember if I had already paid him. 5.ใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อต้องการคำถามอย่างสุภาพ เช่น Do you know if the principal is in his office.
จากที่ได้ศึกษาเรื่อง Noun clauses ทำให้รู้ว่า Object noun clauses มีทั้งหมด 3 ประเภท ประเภทที่ 1 Wh-question + s. +v. 2.Yes/no question+s. +v. 3.that ซึ่งเมื่อเรารู้หลักการใช้ Noun clauses ทำให้เราแปลบริบทของประโยคออกและสามารถคาดเดาได้อย่างสละสลวยน่าอ่าน ที่สำคัญคือดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน


Learning Log 7 (ในห้องเรียน)

Learning Log 7 (ในห้องเรียน)

การแปลเป็นสิ่งสำคัญของทักษะการอ่าน โดยเฉพาะการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย การที่เราจะแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยให้ได้ภาษาที่สวยงามนั้น เราต้องรู้หลักไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษก่อน และเรื่องที่เราจำเป็นต้องรู้อย่างมากคือ Conditional Sentences ประโยคเงื่อนไข Conditional Sentences หรือ If clause ประกอบด้วยประโยคเล็กสองประโยค คือประโยคสมมุติ If clause และประโยคหลัก main idea ดังนั้นเรื่องนี้มีความสำคัญมากต่อการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
Conditional Sentences หรือ If clause คือประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข ซึ่งประกอบด้วย 2 ประโยคเล็กรวมกัน และเชื่อมด้วย Conjunction if ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เรียกว่า if clause และประโยคที่แสดงผลของเงื่อนไขนั้นเรียกว่า main idea เช่น If it rains.   I shall stay at home.ประโยคหน้าเป็น if clause ประโยคหลังเป็น main idea Conditional Sentences แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1.Real Possible Condition (เงื่อนไขที่เป็นจริงหรือน่าจะเป็นไปได้) 2.Impossible or Improbable Condition (เงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่น่าจะเป็นไปได้)           3.Fact contrary Condition เงื่อนไขที่ตรงข้ามกับความจริง

Learning Log 6 (ในห้องเรียน)

Learning Log 6 (ในห้องเรียน)

การแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเป็นสิ่งที่สำคัญหรือพูดอีกว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่งกันเลยทีเดียวสำหรับครูภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะความรู้เรื่องพื้นฐานทางไวยากรณ์  งานแปลที่จะออกมาดีนั้น ผู้แปลต้องมีความรู้มากพอ เพราะว่าภาษาอังกฤษกับภาษาไทยจะแตกต่างกันมาก และอีกเรื่องที่มีความสำคัญที่เราจะต้องรู้ คือ การลดรูปของ Adjective clause เพราะว่าถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องนี้ งานแปลของเราก็ไม่สมบูรณ์หรืออาจจะผิดไปจากสิ่งที่ผู้เขียนต้อการสื่อ ดังนั้นเราจำเป็นต้องศึกษาเรื่องการลดรูปของ adjective clause ว่ามีอะไรบ้างดังต่อไปนี้
                1. Appositive Noun Phrase: adjective clause ซึ่งมี who, which และ that เป็นประธาน สามารถลดรูปได้หาก who, which และ that มี be ให้ตัด be ออก เมื่อลดรูปแล้วจะเป็นดังตัวอย่างเช่น Prof.Chakarin, who is my thesis adviser, will retire next year. Prof.Chakarin, my                 thesis adviser, will retire next year. ตัวอย่างที่ 2 His novel, which is entiled behind the picture, is very popular. ลดรูปเหลือ His novel, behind the picture, is very popular.
             

จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาไทย

จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาไทย

1.             First-year students have studied English for at least 10 year.
-นักศึกษาปีแรกมีการเรียนภาษาอังกฤษอย่างน้อย 10 ปี
                       2.   An accident took place when the plane was flying above a paddy field.
                                -เกิดอุบัติเหตุในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือทุ่งนา
                      3.    The truck driver was unidentified.
                                -ไม่ปรากฏชื่อคนขับรถบรรทุก
                     4.      Tomorrow I’ll go out to town.
                                -วันพรุ่งนี้ฉันจะออกจากเมือง
                    

Learning Log 4 (ในห้องเรียน)

Learning Log 4 (ในห้องเรียน)
ปัจจุบันภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น การแปลจึงเป็นตัวสำคัญในการสนทนากับการชาวต่างชาติ การอ่านบทความภาษาอังกฤษหรืออ่านข่าวต่างประเทศ ดังนั้นการที่มนุษย์เราจะแปลภาษาอังกฤษได้ดีนั้นต้องอาศัยหลักไวยากรณ์เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้างประโยค นอกจากนี้แล้วเรายังต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลักภาษา เพราะจะทำให้เราแปลภาษาได้อย่างถูกต้องและสวยงาม เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องศึกษาเรื่องดังต่อไปนี้
ประโยค Sentences หมายถึง กลุ่มคำหรือข้อความที่กล่าวออกมาแล้วมีใจความสมบูรณ์ ประโยคจะประกอบด้วยส่วนใหญ่ 2 ส่วนคือ 1.ภาคประธาน (Subject) 2.ภาคแสดง (predicate)
ภาคประธาน
ภาคแสดง
He
Shouted.
Mary
Was selfish.
The loose door
Rattled all night.
Those students
Study hard for their exam.

ภาคประธานอาจมีได้หลายรูปแบบ เช่น (1) เป็นคำนาม เช่น the man walked in the rain. (2) เป็นคำสรรพนาม เช่น He was a policeman. (3) เป็นอนุประโยค เช่น what he described frightened every day. (4) เป็น gerund เช่น writing was her hobby. (5) เป็น gerund phrase เช่น working in the South is dangerous. (6) เป็น Infinitive เช่น to swim is a good exercise. (7) เป็น Infinitive phrase เช่น to escape from the prison seem impossible for him.

Learning Log 3 (ในห้องเรียน)

Learning Log 3 (ในห้องเรียน)

                การเรียนในห้องเรียนในปัจจุบันก็ยังนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้ครูได้พบกับนักเรียนและช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น แต่ครูก็ต้องยึดหลักการสอนที่ว่า Teach Less, Learn More หรือ TLLM และการสอนอีกตัวที่สำคัญเช่นกันคือ Blended Learning ทั้งสองตัวนี้มีความสำคัญมากสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ครูภาษาอังกฤษในปัจจุบันต้องเตรียมตัวสอบวัดมาตรฐานยุโรปเพราะถ้าสอบไม่ผ่านไม่มีสิทธิรับราชการ
                Teach Less, Learn More หรือ TLLM คือสอนให้น้อยที่สุด เรียนรู้ให้มากทีสุด เป็นแนวคิดเปลี่ยนวิธีของครูและผู้เรียน โดยครูออกแบบการเรียนรู้จากการตั้งคำถามเพื่อให้ผู้เรียนคิดและสืบค้นข้อมูล เรียนรู้จากกิจกรรมโดยใช้โครงงานฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตและให้ผู้เรียนสะท้อนความคิด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ มีการจัดกิจกรรมโดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งครูออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เช่น การเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การเรียนรู้แบบสืบค้น การสะท้อนความคิด เป็นต้น
               

Learning Log 1(ในห้องเรียน)


Learning Log 1(ในห้องเรียน)


จากการที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน  ได้เรียนรู้สองประเด็นใหญ่คือ Comprehensible Input และ Tenses (กาล)
1. Comprehensible Input = I + 1 I คือ นักเรียน ซึ่งนักเรียนแต่ละคนจะมีประสบการณ์เดิมและกระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ส่วน + 1 คือ ครูผู้สอน ครูผู้สอนจะทำหน้าที่ให้ความรู้แก่นักเรียนซึ่งครูจะต้องให้ความรู้เพิ่มขึ้นมา 1 ระดับ จากความรู้ที่นักเรียนมีอยู่ เพราะถ้าหากครูเพิ่มในระดับ 2, 3, 4 จะทำให้ผู้เรียนมีช่องว่างของความรู้มากซึ่งทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจในเนื้อหา
สรุปได้ว่า Comprehensible Input เป็นกระบวนการที่ครูและนักเรียนต้องมีความสัมพันธ์กันโดยครูจะต้องรู้ว่านักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างทางด้านความรู้มากน้อยเพียงใด และที่สำคัญครูต้องรู้ Background knowledge ของนักเรียนแต่ละคนเพื่อง่ายในการสอน

เรื่อง The Adventures of Tom Sawyer

เรื่อง  The Adventures of Tom Sawyer
บทที่ 1 Tom and his friends
ทอม       เธออยู่ที่ไหน
ไม่มีคำตอบ
เด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน เมื่อตอนฉันพบเขา ฉันกำลังจะไป…….
ป้าพอลลี่มองใต้เตียง แล้วเธอก็เปิดประตูแล้วมองออกไปในสวน
ทอม !
เธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังของเธอ เด็กผู้ชายตัวเล็กวิ่งผ่านมา แต่ป้าพอลลี่ได้เอื้อมมือของเธอหยุดเขา
Ah, นั่นแหละ แล้วอะไรอยู่ในกระเป๋าของคุณ
ไม่มีอะไร ป้าพอลลี่บอก
ไม่มีอะไรได้ยังไง  นั่นคือแอปเปิ้ล ฉันเห็น ฟังนะ แอปเปิ้ลนี้ไม่ใช่ของเธอและฉัน
โอ๋ ! พอลลี่ ดูอย่างรวดเร็วอยู่ข้างหลังเธอ
ดังนั้นป้าพอลลี่ดูและทอมก็ออกจากบ้านเป็นครั้งที่สอง เธอหัวเราะอย่างเงียบ ฉันไม่เคยรู้ ฉันรักทอมเพราะว่าน้องสาวของฉันตาย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเด็กผู้ชายกับหญิงชรา ดี เพราะพรุ่งนี้คือวันเสาร์และโรงเรียนก็ปิด แต่มันไม่ได้เป็นวันหยุดของทอม  ไม่นะ ! เขาจะไปทำงานในวันพรุ่งนี้
วันเสาร์เป็นวันที่สวยงาม  มันเป็นช่วงฤดูร้อน  อากาศจะร้อน พวกเขาทั้งหมดอยู่ในสวนดอกไม้ มันเป็นวันที่ทุกคนจะมีความสุข
ทอมออกจากบ้านของเขาพร้อมกับแปรงและถังใบใหญ่ด้านในมีสีขาว เขามองไปที่รั้ว มันสูง 3 เมตร และยาว 30 เมตร เขาวาแปรงของเขาในสีและทาสีบางส่วนของรั้ว เขาทำมันอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยุดและมองไปที่รั้ว เขาวางแปรงลงและนั่งลง ชั่วโมงที่เขาทำงานด้านหน้าบ้าน เขาเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่มีความสุขเลยในหมู่บ้าน
หลังจากนั้น 15 นาที ทอมมีความคิดที่ยอดเยี่ยม เขาหยิบแปรงขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มทำงาน เขาเห็นเพื่อนของเขาชื่อ Joe Harpers บนถนน แต่เขาก็ไม่ได้มอง โจมีแอปเปิ้ลอยู่ในมือ เขาเดินมาที่ทอมแล้วมองไปที่รั้ว
ฉันขอโทษทอม ทอมบอกไม่เป็นไร แปรงสีขยับขึ้นลง
กำลังทำงานให้กับคุณป้าเหรอ โจพูด ฉันกำลังจะไปเล่นน้ำ ฉันขอโทษนะที่ฉันไม่สามารถไปกัยเธอได้
ทอมวางแปรงของเขาลง คุณเรียกงานนี้ว่าอะไร เขาพูด จิตรกรรมรั้ว โจพูด แน่นอนการทำงาน บางทีมันอาจจะเป็นและไม่ได้เป็น แต่ฉันชอบมัน ทอมพูด ฉันสามารถไปเล่นน้ำได้วันใดวันหนึ่ง เพราะฉันไม่ได้ทาสีรั้วบ่อยมาก
โจดูทอมประมาณ 5 นาที ทอมมาสีอย่างช้าๆและระมัดระวังมาก เขาหยุดพักบ่อยและเดินกลับจากรั้วแล้วมองไปที่การทำงานของทอมด้วยรอยยิ้ม โจเริ่มที่จะสนใจและพูดว่า ทอมฉันสามารถวาดได้เล็กๆน้อยๆ ทอมคิดเป็นครั้งที่สอง ฉันขอโทษนะโจ เธอรู้แล้วใช่ไหมว่าป้าของฉันต้องการให้ฉํนทำ เพราะว่าฉันวาดภาพดี ซิดพี่ชายของฉันต้องการวาด แต่ป้าของฉันก็ไม่ให้วาด
โอ้! ได้โปรดเถิดทอม เพียงเล็กน้อยก็ได้ ฉันวาดมันได้ดีมาก เฮ้! คุณต้องการแอปเปิ้ลของฉํนบางส่วนใช่ไหม
ไม่นะโจ  ฉันไม่ต้องการ
ตกลง เธอสามารถได้แอปเปิ้ลของฉันทั้งหมด
ทอมให้แปรงกับโจ เขาไม่ยิ้ม แต่เป็นครั้งแรกในวันนั้นที่เขาเป็นเด็กผู้ชายที่มีความสุข ทอมนั่งลงและกินแอปเปิ้ลของโจ
มีเพื่อนมากมายมาหัวเราะทอม แต่ในไม่ช้าพวกเขาทั้งหมดต้องการวาดมาก โดยช่วงบ่ายทอมมีลูกบอล 3 ลูก มีเก่า แมวมีตาข้างเดียว ขวดสีฟ้าเก่าและสิ่งของอื่นๆจำนวนมากที่น่าสนใจ เขาเป็นเด็กที่ร่ำรวยที่สุดใน St Petersburg และรั้วทั้งหมด 30 เมตรเป็นสีขาวสวยงาม เขาเดินไปที่บ้านป้าพอลลี่ ฉันสามารถไปเล่นได้แล้วใช่ไหม
ป้าพอลลี่ออกจากบ้านเพื่อดู เมื่อเธอเห็นรั้วสีขาวสวยงามเธอก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอพาทอมเข้าไปในบ้านแล้วให้แอปเปิ้ลกับทอม
ดี! เธอสามารถไปเล่นได้ แต่ห้ามกลับบ้านดึก ทอมเอาแอปเปิ้ลทั้งสองและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเช้าวันจันทร์ทอมไม่ต้องการที่จะไปโรงเรียน แต่ป้าพอลลี่ได้ปลุกเขาออกจากเตียงและหลังจากนั้นก็ออกจากบ้าน
ในถนนใกล้กับโรงเรียนเขาได้พบกับเพื่อนชื่อว่า ฮัก ฮักไม่มีแม่ และพ่อของเขาดื่มวิสกี้ตลอดเวลา ดังนั้นเลยต้องอาศัยอยู่บนถนน เขาไม่ได้ไปโรงเรียน เขามีสภาพสกปรกเสมอ แล้วเขาก็ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ แต่เขาก็มีความสุข แม่ของ St Peterburg ไม่ชอบฮัก แต่ทอมและเพื่อนๆก็ทักทาย
สวัสดีฮัก ทอมพูด เกิดอะไรขึ้น
แมวตาย
แล้วเธอจะทำอย่างไรกับมันต่อ
ฉันจะพามันไปสุสานคืนนี้ ฮักพูด ตอนเที่ยงคืนแมวสามารถเรียกผีออกจากหลุมฝังศพของพวกเขาได้ ไม่เคยได้ยิน ทอมพูด จริงป่ะ ฉันไม่เคยรู้ ฮักบอกว่า Mrs Hopkins บอกฉัน มากับฉันแล้วเธอจะได้รู้ว่าผีมีจริงไหม
เป็นไปไม่ได้แน่นอน ทอมพูด เสียงร้องของแมวมาหาฉันที่หน้าต่างของฉันเวลา 11.00 .
หลังจากนั้นทอมก็ไปโรงเรียนสายแล้วครูก็มองมาที่เขาด้วยความโกรธ
ทอม ทำไมเธอถึงมาเรียนสาย เขาพูด ทอมพูดอีกครั้งสิ แล้วหลังจากนั้นก็หยุด มีสาวใหม่ในห้องเรียนเป็นผู้หญิงที่สวยงามมีตาสีฟ้า มีผมยาวสีเหลือง ทอมมองแล้วมองอีก
โอ้! เธอเป็นคนที่สวยงามมาก และภายในสองวินาทีทอมก็หลงรักเธอ เขาต้องการนั่งข้างเธอ แต่อย่างไร ในครึ่งของนักเรียนผู้หญิงในห้องมีเก้าอี้ว่างและมันก็ติดกับผู้หญิงที่มาใหม่ ทอมคิดอย่างรวดเร็วและหลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ครู ผมหยุดคุยกับฮัก ครูโกรธเป็นอย่างมาก เด็กผู้ชายมักจะมาโรงเรียนสาย นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่พูดกับฮักจะเกิดการสูญเสียมากถึงมากที่สุด ครูถือไม้เรียวของเขา และสองนาทีต่อมากางเกงขายาวของทอมร้อนมากและแขนของครูก็เหนื่อยล้า
ตอนนี้ทอมไปนั่งกับผู้หญิง เด็กบางคนก็หัวเราะ ทอมไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ติดกับผู้หญิงที่มาใหม่และเปิดหนังสือของเขา เด็กคนอื่นๆก็ทำงานกันอีกครั้ง
หลังจากนั้น 10 นาทีเด็กผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมา ด้านหน้าของเรามีแอปเปิ้ลอยู่บนโต๊ะ เธอนำมันกลับมาวางบนโต๊ะของทอม
นาทีต่อมาแอปเปิ้ลอยู่ด้านหน้าของเธออีกครั้ง ในขณะนั้น ทอมก็วาดรูปบ้านและวางมันบนด้านหน้าของเธอ
นั่นเป็นเรื่องที่ดี เด็กผู้หญิงพูด ตอนนี้วาดเด็กชายคนหนึ่ง ทอมวาดภาพเด็กชายคนหนึ่งอยู่ติดกับบ้าน เด็กผู้ชายคนนั้นสูงกว่าบ้าน และเขามีมือที่ใหญ่มากและยาวมาก แต่เด็กผู้หญิงไม่ชอบเขา
เธอสามารถวาดรูปฉันได้ไหมตอนนี้ หล่อนถาม
ทอมวาดหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ติดกับชายคนนั้น เธอวาดสวยมาก ฉันไม่สามารถวาดได้ ฉันสอนคุณได้ ทอมบอก หลังเลิกเรียน
โอ้! ได้โปรด
คุณชื่ออะไร ทอมถาม
Becky. ครู Becky
เพียงแค่นาทีนั้นทอมรู้สึกมืออยู่บนหัวของเขา นี่มันเป็นครู
เขาบอกทอมข้างหู แล้วย้ายเขากลับไปนั่งในเก้าอี้ของกลุ่มผู้ชายในห้องเรียน